วันศุกร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ไปเวียดนามกันเถิด

ไปเวียดนามกันเถิด


เป็นประเทศเพื่อนบ้านที่อยากไปเยือน ด้วยที่ได้ผ่านจากบทความทั้งหลายถึงความอดทน ขยัน ผู้หญิงแกร่ง ค้าขายเก่ง คำนวณเยี่ยม ประเทศที่ผ่านความยากลำบากของสงครามเพื่อปลดแอกจากฝรั่งเศส แล้วมาเจอสงครามของทฤษฎีโดมิโน ไหนจะภัยธรรมชาติ เนื่องจากเป็นดินแดนที่ติดกับฝั่งทะเลเกือบทั้งหมด


การครอบครองของทั้งชาติฝรั่งเศสและอเมริกา มองในแง่บวกก็คือ ได้แลกเปลี่ยนผสมผสานสองวัฒนธรรม ถึงแม้จะเป็นความขมขื่นในอดีตก็ตามที และสิ่งที่เป็นจุดขายตอนนี้ของเวียดนามในเรื่องการท่องเที่ยวก็คือ เอาร่องรอยของประวัติศาสตร์มาชูโรง สร้างแรงจูงใจให้กับการท่องเที่ยว


สาวสวยเวียดนามอัธยาศัยดี



สาวน้อยเจ้าของกิจการ



วัยรุ่นเวียดนาม สนุกสนานครื้นเครงเหมือนบ้านเรา


ไปเวียดนามก็ไม่ต้องกังวลกับสัญญาณไวไฟ ที่พักทุกแห่งที่ไปฟรีไวไฟและแรงส์  ร้านอาหารบางแห่งก็เปิดฟรีไวไฟให้บริการกับลูกค้า เป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวยุโรปอยู่ปะปนกับชาวเอเชียมากพอสมควร เพราะไปทุกเมืองที่เป็นเมืองท่องเที่ยวก็เจอชาวยุโรป โดยเฉพาะเที่ยวนี้ผู้เขียนเจอกลุ่มฝรั่งเศสกลุ่มใหญ่ด้วย

ตอนนี้ถนนหนทางในเวียดนามคงจะต้องปรับปรุงเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และอาเซียนกลุ่มอื่น ๆ โดยเฉพาะกลุ่มมาเลเซีย ตอนนี้ย้ายเที่ยวเมืองไทยมาเที่ยวเวียดนามแทน ด้วยเหตุผลประการใดไม่ได้สืบถามต่อ...

อาหารทะเล ปิ้ง ย่างเยอะมากและน่าจะสดด้วย


ของที่ระลึกเน้นการปัก  เป็นชาติที่ใช้ฝีมือจริง ๆ 


ของที่ระลึก การถัก 


สินค้าของที่ระลึก เน้นในเรื่องฝีมือ โดยเฉพาะการปัก จะด้วยอิทธิพลของจีนบวกกับความเป็นวิทยาศาสตร์ของฝรั่งเศสฝีมือการปักจึงเป็นจุดขายให้กับเวียดนาม  รวมถึงวัฒนธรรมการกิน ซึ่งจะประดิดประดอยอาหารและบนโต๊ะให้สวยงาม อย่าลืมว่า ฝรั่งเศสอยู่ที่นี่ประมาณ 80 ปี


การจัดจานผลไม้แบบเท่ ๆ


แตงโมยังเป็นผลไม้ประจำของแต่ละมื้อ ปอกแล้วมีที่หยิบด้วย


ขนมปัง บาแก็ต (baguette) แท่งยาว ๆ  ก็มีอยู่ทั่วไป แต่ปรับเปลี่ยนเป็นไส้ต่าง ๆ ให้เข้ากับท้องที่และนักท่องเที่ยว และเราก็ได้รับข้อมูลมาว่า เฝอ นั้นจะมีแต่ เนื้อ และไก่ เท่านั้น ถ้าเป็นหมู จะมีชื่อเรียกออกเสียงคล้าย ๆ ก๋วยเตี๋ยวบ้านเรา วัฒนธรรมการดื่มชาก็ยังเป็นเรื่องปกติของคนที่นี่ บวกกับการผลิตกาแฟได้เอง เราได้ผ่านเขตที่ปลูกกาแฟ จึงไม่น่าจะเป็นเรื่องแปลกใจนักที่คนบ้านนี้เมืองนี้จะกินกาแฟเป็นเครื่องดื่มหลักเช่นเดียวกันกับ เมืองดาลัด ที่มีชา อาร์ติโช๊ค (Artichoke) ไม่บอกก็รู้ว่า เป็นฝรั่งเศส


ที่ชงกาแฟ


วัฒนธรรมดื่มชา


ถ้วยชา


ร้านริมถนนเนืองแน่นด้วยผู้คน


ผู้เขียนมักจะเข้าใจเอาเองบางครั้งว่า คนเวียดนามจะคล้าย ๆ กับคนจีน แต่ต้องมาเปลี่ยนความคิดที่นี่เพราะคนเมืองนี้ตอนเย็น ๆ หนุ่มสาวจะมานั่งพูดคุยสังสรรค์กันเป็นกลุ่ม ๆ แล้วเขาสั่งเครื่องดื่ม ซึ่งทุกอย่างจะต้องเติมก้อนหรือเกล็ดน้ำแข็ง ซึ่งคนจีนเราจะไม่เห็นภาพนี้

บ้านเมืองนี้ จะเป็นตึกแถวหน้าแคบ แต่ตัวบ้านจะยาว และบ้านเรือนแบบยุโรปยังมีค่อนข้างหนาตา ทั้งในเมืองโฮจิมินห์และเมืองดาลัด โดยเฉพาะสถานที่ราชการ โรงแรม เพราะวัฒนธรรมของฝรั่งเศสค่อนข้างจะหรูเลิศทั้งการกิน แต่งกาย และบ้านเรือน

โรงแรมที่พักเมืองตากอากาศที่ดาลัด ซึ่งฝรั่งเศสได้ไปครอบครอง ถือเป็นเมืองต้องห้ามสำหรับคนพื้นเมือง ทั้ง ๆ ที่เข้าไปรุกรานเขา มีกลอุบายสารพัดที่จะให้คนเจ้าของพื้นที่ออกไป เช่น การสร้างเขื่อนกั้นน้ำให้น้ำท่วมสำหรับชาวเมืองที่ไม่ยอมย้าย คนเวียดนามคงจะเข้ามาได้ชั่วคราวเฉพาะใช้แรงงาน สงครามเหยียดผิวมีอยู่ทุกที่ ไม่เว้นแม้นแต่ยุโรปด้วยกัน ก็ยังคิดว่า เชื้อชาติตนเองอารยันกว่าชาติอื่น  ปาบกรรมของคนยุโรปที่ทำไว้กับเมืองขึ้นทั้งหลาย ยังชดใช้ไม่หมดในช่วงสงครามโลก

แต่ทั้งนี้ ทั้งนั้น ก็ไม่ได้หมายความรวมทั้งหมด ไกด์ชาวเวียดนามพูดได้ดีว่า "ทั้งคนฝรั่งเศสและคนอเมริกัน ก็ไม่ได้ต้องการให้ลูกหลานของตัวมาฆ่าฟันคนของประเทศอื่น ทุกคนคงไม่ต้องการให้เกิดสงคราม และสงครามก็เป็นบทเรียนให้กับทุกชาติวว่า มันมีแต่ความสูญเสีย"  ไกด์ชาวเวียดนาม เกิดก่อนในช่วงสงครามอินโดจีน เขาไม่ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารเพราะยังเป็นเด็กเล็กอยู่


คำว่า  เวียดกง  ก็เหมือนกับคำว่า เจ็ก  ลาว หรือพม่า ที่กดให้ชนชาติอื่นดูด้อยกว่าชาติของตัวเอง  ดังนั้นคนเวียดนามจะถูกอเมริกันเรียกคำนี้  และถูกฝรั่งเศสเรียกคำว่า  เวียดมินห์  และคนปัจจุบันรูสึกเฉย ๆ กับคำพวกนี้ ตราบใดที่ทั้งฝรั่งเศสและอเมริกันชน ยังเป็นกลุ่มท่องเที่ยวหลักของประเทศ แต่เข้ามาครั้งนี้ผิดกับเจตนารมณ์ครั้งก่อน ความเป็นมิตรและเห็นพิษภัยสงครามก็อาจจะช่วยให้คนยุคปัจจุบันเห็นผลของมัน  เมืองที่เรามา ไม่ค่อยพบเห็นคนพิการ แต่ไกด์บอกว่า ถ้าขึ้นไปทางเวียดนามเหนือจะพบเยอะกว่า สาเหตุเพราะบางพื้นที่เจอระเบิดแบบนาปาล์ม เหมือนที่หลายคนเคยเห็นในภาพยนตร์ แล้วลูกระเบิดเหล่านั้นก็ใช่ว่า จะระเบิดไปหมดแล้ว


บ้านเรือนในเมืองดาลัด


โบสถ์ทรงยุโรปในเมืองดาลัด


ร้านกาแฟเท่ ๆ ริมทะเลสาบ


วิวมุมกว้างของเมืองบนหุบเขา


อากาศเมืองดาลัดเย็นสบาย ตอนเย็นอากาศหนาวมาก บ้านเรือนเก่า ๆ ของชาวยุโรปทุกบ้านจะมีปล่องไฟให้เห็นทุกหลัง  โรงแรมของเมืองนี้ไม่ติดเครื่องปรับอากาศ อากาศทั้งวันเย็นสบาย ผู้คนส่วนใหญ่ก็สวมเสื้อกันหนาวกันเป็นเรื่องปกติ

คุยกันเล่น ๆ ว่า เกิดฝรั่งเศสบุกเข้าไทยได้จริงในยุคโน้น  ชาวฝรั่งเศสเขาจะเลือกจังหวัดใดเป็นสถานที่ตากอากาศ เดาเอาว่าจะต้องเป็นภาคเหนือแน่นอน เพราะอากาศเย็นสบาย ส่วนพื้นที่เมืองที่ชนชาติพวกนี้อยู่มักจะไม่เป็นพื้นที่ราบเรียบ จะต้องอยู่ตามเนินลดหลั่นกันไป ซึ่งจังหวัดดังกล่าวน่าจะเป็นแม่ฮ่องสอน แค่คิดก็ไม่ผิดอะไรนะ


โบสถ์นอร์ทเธอดามกลางเมือง Ho chi minh City


คู่บ่าวสาวมาถ่ายรูป Pre-wedding 


ไปรษณีย์ทรงยุโรป


โรงละคร


สถานที่ทั้งโบสถ์ ไปรษณีย์ สถานีรถไฟ ก็จะเห็นภาพเจนตาของคู่บ่าวสาวมาเก็บภาพ วันนี้ที่เห็นก็สองคู่เข้าไปแล้ว ซึ่งเราอยู่ตรงนี้ไม่ถึงชั่วโมง อาคารใกล้ ๆ ก็จะเป็นไปรษณีย์ขนาดใหญ่ที่ตัวอาคารยังสมบูรณ์สวยงามตามสไตล์ยุโรป


ไกด์ผู้เก็บอารมณ์ได้ดี บอกเป็นนัย ๆ ว่า นอกจากสงครามฝรั่งเศส สงครามกับอเมริกันแล้ว เวียดนามก็ไม่พ้นโดนหางเลขสงครามโลกครั้งที่สอง ที่ญี่ปุ่นกรีฑาทัพขึ้นบก ณ ประเทศนี้ด้วย แต่เมื่องสงครามยุติ ประเทศญี่ปุ่นก็ได้ให้ค่าชดเชยสงครามที่ไม่เป็นตัวเงิน แต่ให้จักรยานยนต์ฮอนด้าแทน ดังนั้น เวลาคนเวียดนามพูดคำว่า  ฮอนด้า   ก็จะหมายถึงจักรยานยนต์นั้นเอง  ผิดกับประเทศมหาอำนาจก็มีข้ออ้าง ไม่ยอมชดเชยค่าสงครามเวียดนามโดยอ้างว่า เป็นสงครามของประเทศคุณเองนั้นคือ เวียดนามเหนือบุกเวียดนามใต้  เขามาทีหลังไม่เกี่ยวนะ...ตัวเอง...

ทุกหนทุกแห่งแน่นไปด้วยมอเตอร์ไซต์


จำนวนมอเตอร์ไซต์จะเยอะมาก เราได้รู้ว่า ทุกคนเมื่อได้ทำงานก็จะซื้อมอเตอร์ไซต์ แล้วเป็นสิ่งที่บ่งบอกสถานะได้อีกอย่างหนึ่งเรียงลำดับตั้งแต่ จากของจีน ญี่ปุ่นและเวสป้าของอิตาลี ใครขับขี่ยี่ห้อนี้รับประกันว่า รวย แล้วไต่ลำดับไปด้วยรถยนต์ เรียงยี่ห้อจากญี่ปุ่นไปเป็นของยุโรป

ที่นี่ของหลายอย่างย่อส่วน เช่น อาคารที่อยู่อาศัย เก้าอี้เล็ก ๆ ที่นั่งกันเรียงรายตามฟุตบาธร้านเครื่องดื่ม รวมไปถึงกระดาษทิชชู ที่มีขนาดความกว้างเล็กกว่าบ้านเรา ก็เป็นกลยุทธทางการตลาดที่จะลดปริมาณได้ แต่มาใช้กับบ้านเราไม่แน่ใจว่าจะเวิร์คมั๋ย

นักเรียนของเมืองนี้ ส่วนใหญ่เด็กผู้หญิงสวมกางเกงกันหมด ไม่ค่อยจะเจอใครที่สวมกระโปรง อาจจะเพราะตามชานเมืองไปโรงเรียนจะต้องปั่นจักรยาน หรือวันที่เราเป็นวันที่ทำกิจกรรมกันทั้งประเทศ  อันนี้เป็นการเดาของผู้เขียนเอง แต่ได้ข้อมูลว่า ถ้าเห็นนักเรียนมีผ้าพันคอผูกสีแดงให้รับรู้ได้เลยว่า เด็กคนนั้นได้รับการประกาศเชิดชูว่า ทำความดีหรือมีระเบียบวินัย  แต่ก็มีขีดจำกัดว่า ถ้าทำผิดก็ต้องริบตามกติกา


เรียนรู้ประเทศเพื่อนบ้านผ่านประสบการณ์มองชีวิตความเป็นอยู่ อาหารการกิน  การคมนาคม ลักษณะนิสัยที่ได้พบเห็นแค่ 4-5 วัน คงจะตอบคำถามในใจของเราไม่หมด แต่ได้รับรู้ถึงความยากลำบากที่คนเวียดนามได้รับในแต่ละช่วงของสงคราม ซึ่งบางสงครามก็อยู่ในช่วงของ Generation ของผู้เขียนได้รับข่าวสารจากหน้าหนังสือพิมพ์และผ่านบทเรียน มาตอกย้ำด้วยตัวแทนจากเจ้าของประเทศเอง  ..สงครามไม่ให้อะไรกับประเทศที่เป็นสนามรบเลย....




Photo : Text   Pimporn   Sarichun
December 2013

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น